หากแบ่งแยกอุปกรณ์กอล์ฟในถุงออกมาเป็นกลุ่มๆ เชื่อเหลือเกินว่าอุปกรณ์กอล์ฟกลุ่มที่มีจำนวนมากที่สุดมักจะเป็นชุดเหล็ก(IRON SETS) เสมอ คิดแล้วเป็นประมาณ 40 ถึง 60 เปอร์เซนต์ ของไม้กอล์ฟในถุงเลยทีเดียว ชุดเหล็กจึงมีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าอุปกรณ์อื่นๆ หากท่านผู้อ่านทดลองเดินชมไม้กอล์ฟสำเร็จรูปตามแหล่งต่างๆ จะพบชุดเหล็กมากมายหลายแบบ ฉบับนี้ผู้เขียนจะขอกล่าวถึงวิธีการที่จะช่วยให้ท่านผู้อ่านตัดสินใจเลือกชุดเหล็กได้ง่ายขึ้น โดยมุ่งหวังให้ท่านผู้อ่านถือ นิตยสาร Swing ฉบับนี้ ไปเป็นข้อมูลมองหาชุดเหล็ก ตามแหล่งต่างๆได้เลย
เมื่อประมาณ 10 กว่าปีก่อน เป็นช่วงที่ผู้เขียนใช้เวลาส่วนใหญ่ในการศึกษา และเลือกหาอุปกรณ์ของตนเอง อีกทั้งเข้าร้านถอดไม้ ประกอบไม้เป็นน้ำหนักโน้นน้ำหนักนี้เป็นว่าเล่น เรียกได้ว่าไม้กอล์ฟของผู้เขียน ณ เวลานั้น อยู่ในร้านนานกว่าอยู่ในสนามกอล์ฟเสียอีก มีอยู่วันหนึ่งไม้กอล์ฟที่ประกอบมาให้ผลงานต่ำกว่ามาตรฐาน ผู้เขียนจึงสอบถามไปทางช่าง ได้รับคำตอบว่า “ไม่ต้องทำสวยหรอกครับ เดี๋ยวยังไงพี่ก็มาถอดอยู่แล้ว” เป็นอย่างนั้นไปเสีย
ยุคนั้นก้านยอดนิยมคือก้าน Rifle (เป็นของบริษัท Precision สมัยนั้น ซึ่งปัจจุบันถูกบริษัท True Temper ซื้อกิจการไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว) นอกจากนั้นถ้าเป็นก้านเหล็กก็มักจะเป็นก้าน Dynamic Gold เรียกได้ว่าเลือกเอาหนึ่งในสองก้านนี้ ประมาณนั้น เรียกว่ายุคนั้นใครใช้ก้าน Rifle จะดูเท่ดูดีไม่แพ้นักกอล์ฟที่ใช้ก้าน Project X หรือ KBS ในสมัยนี้
จำได้ว่าผู้เขียนใช้ชุดเหล็กญี่ปุ่นแบรนด์หนึ่งซึ่งมีก้าน Rifle 6.0 ประกอบให้มาเลย ตีเหล็กสั้นได้ระยะดีมาก แต่เหล็กยาวไม่ค่อยได้ระยะ กล่าวคือ เหล็ก 3 ,4 และ 5 ระยะใกล้เคียงกันมาก แทบไม่เห็นความแตกต่าง
ในกรณีดังกล่าวข้างต้นมีทางเป็นไปได้สองกรณีครับ กรณีแรกคือ ก้านแข็งเกินไป ส่วนกรณีที่สองคือใบเหล็กตียากเกินไปสำหรับคนคนนั้น ในขณะนั้นผู้เขียนพบว่าทั้งสองข้อร่วมกันก่อเหตุครับ
ใบเหล็กแบบไหนดี
มีใบเหล็กมากมายหลายแบบ หลายทรง มีผู้จำแนกออกมาได้หลายประเภท ผู้เขียนแบ่งเป็น 3 กลุ่มหลักๆคือ
- Blade หรือ Muscle Back
- Half Cavity Back
- Cavity Back
ใบ Blade จะเป็นใบแบบที่ไม่มีโพรงด้านหลัง ใบ Cavity Back จะเป็นใบแบบที่มีโพรงด้านหลังอย่างชัดเจน ส่วน Half Cavity Back จะอยู่ระหว่างกลาง ขอให้ดูภาพประกอบครับ
ความยากง่ายในการตีก็เป็นไปตามลำดับ คือเหล็ก Blade จะตียากที่สุด ในขณะที่เหล็ก Cavity Back จะตีง่ายที่สุด แต่หากตีโดนกลาง Sweet spot เหมือนกัน มักจะพบว่าเหล็ก Blade มักจะตีได้แม่นยำกว่า กล่าวคือมีค่า Short Dispersion หรือ กลุ่มของลูกกอล์ฟ ค่อนข้างใกล้เคียงกันมากกว่า อาทิเช่น ถ้าคุณตีเหล็กเบอร์ 8 ของใบเหล็กแบบต่างๆ โดน Sweet spot ทุกครั้ง ได้ระยะ 150 หลา ประมาณ 4-5 ลูก นำผลงานมาเปรียบเทียบกัน มักพบว่าเหล็ก Blade จะตีได้เป็นผลงานที่เป็นกลุ่มก้อนมากกว่า โดยระยะที่ได้ และ ทิศทางค่อนข้างมีความแน่นอนสูง แต่สิ่งนี้ก็ต้องแลกมาด้วยความยากในการเล่นที่เพิ่มขึ้น นักกอล์ฟหลายท่านมักพบว่าเหล็กแบบ Cavity Back หรือ Mid Cavity Back มักจะตีได้ง่ายกว่า และไม่จำเป็นต้องเข้าสนามฝึกซ้อมบ่อยนัก
นอกจากนี้กรรมวิธีการผลิตก็มีส่วนสำคัญเช่นกัน วิธีการผลิตใบเหล็กที่เป็นที่นิยมในปัจจุบันมีสองแบบคือ
- Casting หรือวิธีการหล่อ กล่าวคือการหลอมโลหะให้ละลายแล้วนำไปเทเข้าแม่แบบ จากนั้นจึงทำให้เย็นลง
วิธีการนี้เป็นวิธีการที่ถือว่าทำง่ายกว่าวิธีอื่นๆ สามารถใช้เวลาน้อย และทำใบเหล็กได้ออกมาจำนวนมาก เหล็กแบบนี้มีข้อดีคือราคามักจะไม่สูงมากนัก แต่จำเป็นต้องควบคุมการผลิตให้ดีเพราะสิ่งเจือปนจะเข้าไปอยู่ในเนื้อเหล็กง่ายมาก
- Forging หรือวิธีการปั๊มจากก้อนวัสดุ วิธีนี้ทำให้ภายในเนื้อเหล็กสะอาด เพราะไม่มีโอกาสที่สิ่งเจือปนจะเล็ดรอดเข้ามาได้เลย ข้อเสียของวิธีนี้อยู่ในขั้นตอนการผลิต กว่าคือมีหลายขั้นตอนที่จะต้องใช้คนเข้ามาทำงานแทนเครื่องจักร ทำให้ใช้เวลาค่อนข้างมากในการผลิต อีกทั้งโลหะที่สามารถนำมาผลิตด้วยวิธีนี้ได้ต้องเป็นโลหะอ่อนซึ่งมักมีราคาสูง
ผู้เขียนขอให้หลักการเลือกใบเหล็กไว้ดังนี้ครับ
1. หลังจากทดลองจรดลูกแล้ว แบบไหนมั่นใจที่สุด ให้พิจารณาแบบนั้นก่อน
2. ถ้าสามารถทดลองได้ ขอให้เลือกลักษณะใบ แบบที่โดน Sweet spot ได้ง่ายที่สุด
3. เหล็กแบบ Forged มักจะมีประสิทธิภาพที่สูงกว่า แต่สนนราคาก็มักจะสูงขึ้นเป็นเงาตามตัวเช่นกัน วิธีการคือขอให้คุณทดลองตีเหล็กทั้งสองแบบ (เหล็ก Forged ส่วนใหญ่มักจะเขียนคำว่า “Forged” ที่ใบเหล็ก) เหล็ก Forged มักจะตีแล้วได้ความรู้สึกที่ดีกว่า แต่ถ้าคุณไม่เห็นความแตกต่างหลังจากทดลองตี เก็บเงินในกระเป๋าไว้ แล้วใช้ของถูกดีกว่าครับ
ก้านอะไรดี
อย่างที่เราทราบกัน ก้านไม้กอล์ฟถือเป็นหนึ่งในตัวแปรที่สำคัญมากของการ Custom Fitting หลังจากได้ใบเหล็กแล้ว ผู้เขียนจะจำแนกวิธีการเลือกก้านของชุดเหล็กออกเป็น น้ำหนักของก้าน และ ความแข็งของก้าน
น้ำหนักที่เหมาะสมของก้าน ขึ้นอยู่กับความแข็งแรงและจังหวะการตีครับ ต้องเป็นน้ำหนักก้านที่ทำให้จังหวะการตีดี โดยไม่ไปลดความเร็วของวงสวิงจนเกินไป พูดให้ง่ายกว่านั้นคือขอให้เลือกน้ำหนักที่พอดีกับคุณ คือไม่เบาเกินไปจนไม่รู้สึกอะไรเลยเวลาสวิง และไม่หนักเกินไปจนยกแทบไม่ไหว
ความแข็งของก้านถ้าไม่มีเครื่องมือวัดเฉพาะ ขอให้เลือกตามระยะที่ตีได้ครับ(จากการตีเหล็ก 8 เต็มวงโดยประมาณนะครับ)
- ได้ระยะ 100 หลาใช้ Flex Lady (L)
- ได้ระยะ 115 หลาใช้ Flex Amateur (A)
- ได้ระยะ 130 หลาใช้ Flex Regular (R)
- ได้ระยะ 145 หลาใช้ Flex Stiff (S)
- ได้ระยะ 160 หลาใช้ Flex Extra Stiff (X)
เป็นข้อมูลเบื้องต้นนะครับ จากประสบการณ์ของผู้เขียนจะขอยกตัวอย่างค่าเฉลี่ยของนักกอล์ฟบ้านเรากลุ่มต่างๆดังนี้
- นักกอล์ฟเยาวชนที่มีฝีมือ อายุไม่เกิน 10 ปี ก้านเหล็กเบาที่มีการดีดพอสมควรอาทิเช่น True Temper M-80
- นักกอล์ฟสตรีสมัครเล่น มักจะเหมาะกับก้าน Graphite น้ำหนักเบาประมาณ 50ถึง 60 กรัม
- นักกอล์ฟอาชีพสตรี มักจะเหมาะกับก้านเหล็กเบาที่มีการดีดปานกลางอาทิเช่น NS PRO 950,850,V90 หรือ KBS 90
- นักกอล์ฟอาวุโสสมัครเล่นมักจะเหมาะกับก้านเหล็กเบาอาทิเช่น TRUE TEMPER M-80
- นักกอล์ฟอาวุโสมือดีมักจะเหมาะกับก้านเหล็กน้ำหนักปานกลางเช่น NS PRO 950,KBS TOUR,DYNAMIC GOLD SL
- นักกอล์ฟชายสมัครเล่นมักจะเหมาะกับก้านน้ำหนักปานกลางถึงมาก เช่น KBS TOUR ,Dynamic Gold
- นักกอล์ฟชายอาชีพมักจะเหมาะกับก้านที่มีน้ำหนักค่อนข้างมาก เช่น KBS TOUR(X),PROJECT X,DYNAMIC GOLD
นอกจากนี้ LIE ANGLE ของเหล็ก และขนาดของกริพ ต้องเหมาะสมเช่นเดียวกับอุปกรณ์อื่นๆ แล้วพบกันใหม่ครับ